Category Archives: ความรัก และการพัฒนาตนเอง

อย่ามีเวลาให้กับคนนับร้อยในโซเชียล แต่ไม่มีเวลาให้กับคนที่รักเพียงคนเดียว

อย่ามีเวลาให้กับคนนับร้อยในโซเชีย
แต่ไม่มีเวลาให้กับคนที่รักเพียงคนเดียว

ในยุคที่หลายคน หลุดไปกับโลกโซเชีย
สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับคนนับร้อยๆ ได้
แต่บางครั้ง คนที่นั่งข้างๆ กลับรู้เหงาและเดียวดาย

และในบางครั้งหลายคนก็เข้าใจผิดเรื่องการให้เวลา

การให้เวลากับคนรัก
ไม่ใช่เพียงการนั่งดูทีวีอยู่ห้องเดียวกัน แล้วไม่ได้พูดอะไรกัน
หรือไปกินข้าวด้วยกัน แต่แทบไม่ได้พูอะไรกัน ต่างคนต่างเล่นมือถือ
แบบนี้ไม่เรียกว่าให้เวลานะครับ

แบบนี้เรียกว่า “การได้อยู่ที่เดียวกัน”

การให้เวลากับคนรัก คือ การได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณค่า
โดยที่ให้ความสนใจไปที่คนรักอย่างจริงใจ
และช่วงเวลาที่มีคุณค่านี้
จะทำให้กิดความรู้สึกดีๆ ซึ่งกันและกัน

สามีภรรยาหลายคู่อาจเข้าใจว่า กำลังใช้เวลาร่วมกัน
แต่ความจริง เค้าสองคนอาจเพียงแค่อยู่ที่เดียวกันเท่านั้น

หากสามีกำลังเล่นมือถือ แต่ภรรยาพูดคุยด้วย
แบบนี้สามีไม่ได้เวลาอย่างมีคุณค่ากับเธอ

การที่คนรักใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกัน
เป้าหมายจะไม่ได้อยู่ที่กิจกรรม
แต่อยู่ที่การได้สื่อความรักผ่านกิจกรรมนั้นๆ
หรือในช่วงเวลานั้นๆ ด้วยกัน

ยกตัวอย่าง พ่อนั่งเล่นลูกบอลกับลูกสองขวบ
ความสนใจของพ่อ ไม่ได้อยู่ที่ลูกบอล แต่อยู่ที่ลูก

แต่ถ้าพ่อกลิ้งบอลไปด้วย คุยมือถือไปด้วย
แบบนี้ความสนใจพ่อไม่ได้อยู่ที่ลูก
แต่อยู่ที่คนที่คุยด้วยในมือถือ

การที่พ่อเล่นบอลกับลูก
คุณค่าอยู่ที่การใช้เวลาร่วมกัน
ไม่ใช่เพราะอยากเล่นลูกบอล

หรือถ้าสามีกับภรรยาไปตีแบตด้วยกัน
เพื่อให้เวลากัน สร้างเวลาที่มีคุณค่าร่วมกัน
เป้าหมายไม่ได้อยู่ที่การเล่น
แต่เป้าหมายอยู่ที่สองคนกำลังใช้เวลาที่มีคุณค่าร่วมกัน

เวลาที่มีคุณค่าจะทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกร่วมกัน
รู้สึกห่วงใยกัน ใส่ใจซึ่งกันและกัน
ชอบที่จะอยู่ด้วยกัน ได้เติมความรักให้กันในช่วงเวลานั้นๆ

แบบนี้ถึงเรียกว่า การให้เวลากับคนที่รัก ครับ

“อย่าใช้คำว่ารักจริง แล้วคาดหวังความรักกลับมา”

อย่าใช้คำว่ารักจริง แล้วคาดหวังความรักกลับมา”

 

บางคนติดกับคำว่า “รักจริง”

ฉันรักคุณจริง ฉันรักคุณจริงๆ

ฉันรักจริงนะ ฉันถึงทำแบบนี้ ฯลฯ

 

แล้วก็อาจจะเจอกับเหตุการณ์

ฉันรักเค้าจริง ฉันจริงใจ

ทำไมเค้าไม่จริงใจกับฉันเลย

ทำไมเค้าไม่เห็นค่าฉันเลย”

 

คำว่า “รักจริง” เป็นเรื่องพื้นฐานของความรักเลยครับ

ถ้าเปรียบเป็นบ้าน รักจริง ก็เหมือนบ้านที่มีเสาครับ

ถ้าไม่มีเสา บ้านก็สร้างอย่างอื่นต่อไม่ได้

 

แต่หากบ้านสวยแต่ไม่มีเสา

ก็อาจเปรียบเหมือน

คนที่น่ารัก นิสัยดี ทำให้เรามีความสุขได้

แต่หากมาเพราะหลอกกัน คบซ้อน

คบเพราะผลประโยชน์ ฯลฯ

ก็เหมือนบ้านที่น่าอยู่ แต่ไม่มีเสา ไม่มีฐานที่สำคัญ

อยู่ไปวันหนึ่งก็ล่มพังทลายลงมา

 

ส่วนคนที่รักจริง

แต่ “ลืม” ที่จะพัฒนาเรื่องอื่นๆ

เช่น ความฉลาดทางอารมณ์, ความเข้าใจผู้อื่น, การพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นอยู่เสมอ ฯลฯ

แบบนี้ ก็เหมือนบ้านที่มีแต่เสา

แต่ไม่มีหลังคา หรือบ้านเปล่าๆ ที่ไม่สวย ไม่น่าอยู่ อยู่แล้วไม่มีความสุข

 

ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น

 

ฉันจริงใจนะ ฉันไม่นอกใจ ฉันไม่เคยมองใคร

ฉันก็เลยอยากให้เธอจริงใจกับฉัน

โทรหาทุกชั่วโมง เช็คตลอดว่าทำอะไรอยู่

ขอให้กลับบ้านตรงเวลาทุกวัน ช้าหน่อย ก็งอน

ที่ทำแบบนี้ก็เพราะ… จริงใจนะ

 

แบบนี้ความจริงใจ อาจกลายเป็นความอัดอัด ขาดความสุข

เหมือนบ้านที่มีแต่เสา แต่ไร้ชายคา อยู่แล้วหนาว ไม่อยากกลับบ้าน

 

ฉันจริงใจนะ ฉันไม่นอกใจ ฉันไม่มองใคร

แต่มีปัญหาอะไร ฉันก็จะด่าตลอด

หยาบคายตลอด ที่พูดแบบนี้

ที่ทำแบบนี้ก็เพราะ… จริงใจนะ

 

แบบนี้ความจริงใจ อาจกลายเป็นการทำร้าย ไร้ความสุข

เหมือนบ้านที่บอกว่าแข็งแรง ถึงแม้จะแข็งแรงจริงๆ

แต่ก็ร้อนเป็นไฟ ใครหรือจะอยากอยู่ในบ้านแบบนี้

 

ถึงแม้จะมีคำว่าจริงใจ แต่มันจับต้องไม่ได้

บางคนเหมือนถูกหลอกให้ยังไม่ไปไหน

เพราะคำว่า จริงใจแต่มัน คืออะไรก็ยังไม่รู้

 

เพราะฉะนั้น สำหรับความรักที่ดีแล้ว

จริงใจเป็นเรื่องที่ต้องมีครับ

แต่เป็น เรื่องพื้นฐานของความรักที่ดีเท่านั้นครับ

 

หากคุณต้องการมีรักที่ดี และยืนยาวแล้ว

นอกจากคุณเป็น คนจริงใจแล้ว

คุณต้องต่อยอดพัฒนาตัวเองในเรื่องอื่นๆ

ที่ช่วยให้ความรักพัฒนาขึ้น ดีขึ้นด้วยครับ

 

คนที่เก่งเรื่องความรัก คือ คนที่เข้าใจเรื่องความสัมพันธ์

เข้าใจว่าอะไรที่จะสร้างความสุขให้กับชีวิตคู่

เปิดโอกาสให้ทั้งคู่ ร่วมกันสร้างบ้านหลังนี้

ให้แข็งแรง น่าอยู่ และมีความสุขได้

 

หากวันนึงบ้านรั่วบ้านซึม ก็ซ่อมได้ แก้ไขได้

เพราะทั้งคู่พัฒนาเรื่องตัวเอง และเรื่องความสัมพันธ์กันตลอดเวลา

นำไปซ่อมแซมปัญหาต่างๆ ที่อาจเข้ามา

 

และบ้านหลังนี้จะเป็นบ้านที่คุณทั้งคู่

อยู่แล้วมีความสุข อยากอยู่ด้วยกันตลอดไปครับ

“การงานที่ยอดเยี่ยม อาจล้มเหลวไม่เป็นท่า ด้วยรักที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียว”

การงานที่ยอดเยี่ยม อาจล้มเหลวไม่เป็นท่า
ด้วยรักที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียว”

ความสามารถในการทำงาน
กับการความสามารถในการสร้างรักที่ดี
เป็นคนละเรื่องกัน

ถึงคุณจะมีการงานที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน
คุณอาจจะทำให้คนมารักคุณได้ชั่วคราวเท่านั้น

แต่การที่จะมีรักที่ดี มีความสุข และยืนยาว
ต้องอาศัยความสามารถอีกอย่างหนึ่ง

ผมเรียกว่า วิชาความรัก

วิชาความรัก
เป็นวิชาความสัมพันธ์ และการพัฒนาตัวเอง
รวมเข้าไว้ด้วยกัน

ถึงคุณจะดีแค่ไหน แต่คุณไม่เข้าใจเรื่องความสัมพันธ์
ความรักก็พังทลายได้

เราคงเห็นหลายคนที่บอกตัวเองว่า
ฉันเป็นคนดีขนาดนี้ ทำไมเขายังทิ้งฉัน
ฉันให้เขาขนาดนี้ ทำไมเขายังทิ้งฉัน

หรือคุณคงเคยได้ยินว่า
เค้าดีนะ เค้าดีทุกอย่าง
แต่ฉันอยู่กับเขาแล้วไม่มีความสุข

สิ่งนี้ทำให้บางคนทำทุกอย่าง
ยอมสละทุกอย่าง แลกทุกอย่าง
เพื่อที่จะยื้อให้รักยังคงอยู่
จนทำให้การงาน หรือชีวิตส่วนตัวพังทลายลง

แน่นอนว่ารักที่แย่ๆ ส่วนหนึ่ง ก็อาจเป็นที่นิสัยใจคอของอีกฝ่าย
แต่อีกส่วนหนึ่ง ก็เป็นที่ตัวเรานี่ล่ะ
ที่ส่งผลให้อีกฝ่ายมีแรงจูงใจ
ในการทำสิ่งต่างๆกับเรา โดยที่เขาและคุณก็ไม่รู้ตัว

ส่วนเรื่องการพัฒนาตัวเองในด้านความรัก
คือการพัฒนาตัวเอง ให้เป็นคนรักที่ดี คนที่เก่งเรื่องความรัก
ไม่ใช่เป็น คนดีหรือ คนเก่งมันเป็นคนละเรื่องกัน

ถ้าคุณไม่พัฒนาตัวเองในด้านนี้ คุณก็ยากที่จะรับฟังคู่ของคุณ
ยากที่เปิดใจปรับปรุงตัวเองเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์
ยากที่จะเข้าใจว่า ความสุขในชีวิตคู่ ความสัมพันธ์ที่ดี
ไม่ใช่เรื่องที่จะหาว่าใครถูกผิด ใครเก่งกว่าใคร

คุณอาจพัฒนาตัวเองเรื่องงาน จนคู่ควรกับความสำเร็จ
แต่คุณไม่ได้พัฒนาตัวเองให้คู่ควรกับการมีรักที่ดี

เมื่อสืบสาวปัญหาความสัมพันธ์ของหลายๆ คู่
ก็พบว่าตัวเองก็มีส่วนในความสัมพันธ์แย่ๆ นั้น

ฉะนั้นถ้าหากคุณอยากจะมีรักที่ยอดเยี่ยม
ให้ตั้งใจพัฒนาความสามารถในวิชารักของคุณด้ว
ไม่ใช่ปล่อยให้รักเป็นเรื่องของโชคชะตา

เหมือนที่คุณอยากสำเร็จเรื่องการงาน
บางคนอาจสำเร็จเพราะโชคชะตาก็มี
แต่โชคชะตาอาจเกิดได้ยากและก็มักอยู่ได้ไม่นาน

แต่คนสำเร็จเรื่องงานจำนวนมาก
ไม่ได้เกิดจากโชคชะตา
แต่เกิดจากการพัฒนาตัวเองไม่หยุด

ความรักก็เช่นกัน คุณก็สามารถพัฒนามันได้
ให้เป็นคนที่เก่งเรื่องความรัก เก่งวิชาความรัก
ให้เป็นทักษะที่จะทำให้คุณมีความรักที่ดี

อย่าละเลยเรื่องนี้
เพราะรักที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียว
อาจทำให้การงานที่ยอดเยี่ยมของคุณ
ต้องพังทลายลงครับ

ขอให้ทุกคนพบกับรักที่ดี
ควบคู่กับการเป็นคนเก่งวิชาความรักนะครับ

“หลายคนคิดว่าคือหน้าที่ แต่มันคือการแสดงความรัก“

หลายคนคิดว่าคือหน้าที่
แต่มันคือการแสดงความรัก

คู่รักหลายคน มีการจัดสรรหน้าที่
การทำงานบ้าน ทำอาหาร ดูแลลูก
การทำงานหารายได้ การทำสิ่งต่างๆ ให้ในชีวิตคู่ ฯลฯ

คล้ายกับการทำหน้าที่ในบริษัทหรือองค์กรต่างๆ
เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย

บางคนบอกว่า มันควรเป็นหน้าที่ของเค้าอยู่แล้ว
การไม่ทำ ถือว่าทำหน้าที่บกพร่อง
และบางคนก็ไม่เห็นคุณค่าที่อีกฝ่ายได้ทำให้

แต่ที่จริงแล้ว การทำสิ่งๆ ต่างๆ ให้กัน
นั้นมีความหมาย ในเรื่องความสัมพันธ์

ดร.แกรี่ แชปแมน นักบำบัดคู่แต่งงานที่มีชื่อเสียง
ได้พูดถึงภาษารักหนึ่งที่มีชื่อว่า การทำบางสิ่งบางอย่างให้

มีคนรักอยู่ประเภทหนึ่ง ที่จะรู้สึกว่าได้ความรักจากอีกฝ่าย
ก็ต่อเมื่ออีกคน ทำบางสิ่งบางอย่างให้
หากละเลย หรือเบื่อหน่ายที่จะทำให้
เขาหรือเธอจะรู้สึกว่าความรักได้จืดจางแล้ว

มีตัวอย่าง สามีคนนึง ลุกขึ้นมาจัดบ้านครั้งใหญ่
แล้วเขียนการ์ดทิ้งไว้ว่า ด้วยรัก
เมื่อภรรยากลับบ้านมาจากข้างนอก
แล้วเห็นการ์ดนี้ พร้อมกับบ้านที่สะอาด
เค้าซาบซึ้งน้ำตาไหล ยิ่งกว่าได้รับของขวัญราคาแพงเสียอีก

บางครั้ง หากสามีช่วยงานบ้านให้ภรรยาในบางครั้ง
เธออาจรู้สึกดีมากกว่า ที่คุณซื้อเครื่องดูดฝุ่นอย่างดีให้
แต่เธอก็ต้องทำงานบ้านคนเดียวทุกครั้งไปอยู่ดี

หรือบางบ้านที่สามีจ้างแม่บ้านให้ ทำหน้าที่ทุกอย่างให้
ภรรยาอาจรู้สึกสบาย แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าสามีรักเธอไหม

แน่นอนว่าการใช้ชีวิตร่วมกัน
อาจต้องมีการแบ่งหน้าที่ในการทำสิ่งต่างๆ
แต่อยากให้คุณรู้ว่า การทำหน้าที่นั้นๆ
มีเป้าหมายเกี่ยวกับความรักแฝงอยู่

ผู้ที่ลงมือทำบางอย่างให้จะมีความสุขมากกว่า
หากการกระทำนั้น ได้สื่อความรักให้คู่รัก
และอีกฝ่ายก็ซาบซึ้งและเห็นความรักอยู่ในการกระทำนั้นๆ

สิ่งนี้จะช่วยให้คู่รักเกิดความสัมพันธ์ที่ดี

แต่หากคู่ใดมองว่าเป็นเพียงแค่หน้าที่ ที่ต้องทำ
แบบนี้นานไป ก็อาจหมดกำลังใจที่จะทำ และรู้สึกไร้ค่า
เพราะสิ่งต่างๆ ที่ทำให้แทบจะไม่มีความหมายอะไร
ถ้าไม่ใช่เพื่อความรัก

สุดท้ายนี้ อยากให้คู่รักได้ตระหนักว่า
การทำบางสิ่งบางอย่างให้ในชีวิตคู่
ไม่ใช่เป็นเพียงแค่หน้าที่
แต่คือการแสดงความรักอย่างหนึ่ง
ที่ทั้งคู่ต้องต่างทำและต่างเห็นคุณค่าของสิ่งนี้ร่วมกันครับ

“ความทุกข์ ต้องการความทุกข์เป็นอาหาร”

ความทุกข์ ต้องการความทุกข์เป็นอาหาร”

คุณสังเกตุไหม เวลาที่รู้สึกทุกข์
นอกจากคุณจะทุกข์ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว

หลายคนก็มักคิดหาเรื่องทุกข์
เพื่อเพิ่มความทุกข์ให้ตัวเองมากขึ้นไปอีก

ตอนที่คุณทุกข์
คุณมักจะคิดถึงเรื่องแย่ๆ ในอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นได้
คุณมักจะคิดถึงเรื่องแย่ๆ ในอดีตที่ไม่ได้คิดนานแล้ว

บางคร้งก็ประชดตัวเอง
ทำตัวเองแย่ๆ กินอาหารแย่ๆ ทำนิสัยแย่ๆ
ทั้งกับตัวเอง และคนรอบข้าง

ตอกย้ำตัวเองให้ยิ่งเจ็บ ยิ่งเศร้า ยิ่งทุกข์เข้าไปอีก

มีตอนหนึ่งในหนังสือ “The Power of Now”
ได้พูดเปรียบเทียบว่า

ตัวทุกข์ เหมือนมีชีวิต
และก็ต้องการมีชีวิตรอดบนโลกเหมือนกับสิ่งมีชีวิตทั่วไป

มันอยู่ได้ด้วยการครอบงำคุณ สถิตในตัวคุณ
และก็ได้รับอาหาร ผ่านตัวคุณ

โดยอาหารของตัวทุกข์ก็คือ ความทุกข์นั่นเอง

ทุกข์อยู่ได้ด้วยตัวทุกข์

มันจะบังคับและเรียกร้องให้คุณไปหาอาหารให้มัน!

ทั้งที่ในใจบางครั้งคุณก็รู้ว่าคุณไม่อยากทุกข์แล้ว
แต่คุณก็หยุดไม่ได้ เพราะมันครอบงำคุณอยู่
มันหิว มันเรียกร้อง

คุณจะเริ่มลงมือทำสิ่งที่ผิด
คุณจะอยากสร้างความเจ็บปวด
และที่สำคัญคุณจะไม่รู้ตัว

คุณจะอ้างว่าฉันไม่อยากทุกข์แล้ว
แต่พฤติกรรมกลับตรงกันข้าม

สิ่งที่จะตัดวงจรทุกข์นี้ได้
อย่างแรกคุณต้องตั้งสติรู้ตัว
และบอกตัวเองว่า
มีแต่คนเสียสติเท่านั้นล่ะ
ที่ทำร้ายตัวเอง ทำให้ตัวเองทุกข์และเจ็บปวด

มี 3 วิธีที่จะแนะนำให้คุณเริ่มต้นตัดวงจรทุกข์คือ

1. คุณต้องเลิกให้อาหารมัน เลิกสร้างความทุกข์เพิ่มอีก

2. ป้อนความสุขและความเบิกบานใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่มันไม่ชอบ

3. อยู่กับปัจจุบัน แท้จริงแล้วที่คุณยังเจ็บปวด
เพราะคุณคิดถึงอดีตกับอนาคตมากเกินไป
ยึดมั่นกับอดีตและกังวลอนาคตมากเกินไป

หากคุณพิจารณาดีๆ ในปัจจุบันขณะ ขณะที่คุณกำลังหายใจ
คุณแทบไม่มีความเจ็บปวด
ปัจจุบันสร้างความเจ็บปวดให้คุณได้น้อยมาก
คุณทุกข์จากในความคิดถึงอดีตกับอนาคตของคุณ
ให้คุณตัดวงจรเวลาออกไป แล้วอยู่กับปัจจุบัน

คิดและทำ 3 อย่างที่แนะนำข้างต้นนี้วนอยู่เรื่อยไป
สิ่งนี้จะช่วยทำลายความทุกข์จากใจคุณไปได้

จงจำไว้ว่า
ไม่มีอะไรที่สร้างความทุกข์ ได้รุนแรงเท่ากับ ความคิดของคุณ
และความคิดของคุณ ก็มีอำนาจมากที่สุด ในการทำลายความทุกข์นั้น

ขอให้ทุกคนที่กำลังพบกับความทุกข์อยู่ ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม
ผมอยากให้ความเชื่อมั่นว่า
คุณมีอำนาจและพลังมากพอ
ที่ออกจากความทุกข์นั้นได้โดยเร็วครับ

ผมเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ

“ความรักเป็นเรื่องที่อ่อนโยน หากเราต้องการสื่อความรักด้วยคำพูด เราก็ต้องใช้ถ้อยคำที่อ่อนโยน”

ความรักเป็นเรื่องที่อ่อนโยน หากเราต้องการสื่อความรักด้วยคำพูด เราก็ต้องใช้ถ้อยคำที่อ่อนโยน”

 

คำว่า ฉันรักคุณด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ฝ่ายตรงข้ามจะสัมผัสถึงความรักได้

แต่ ฉันรักคุณ” ด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
หรือพูดแบบขอไปที
ฝ่ายตรงข้ามจะสัมผัสถึงความรักไม่ได้
แม้ในใจคุณจะรักจริงๆ ก็ตาม

คำพูดที่นุ่มนวลอ่อนโยน
สามารถทำให้ถ้อยคำที่น้อยใจหรือโกรธ
กลายเป็นถ้อยคำที่แสดงความรัก
และสร้างบรรยากาศที่จะทำให้เกิดความเข้าใจกันได้

แต่คำพูดที่แข็งกระด้างจะให้ผลในสิ่งตรงกันข้าม

บางคนอาจจะเขินอาย ที่จะพูดจาที่เพราะๆ กับคู่รัก
อาจเป็นเพราะเป็นเพื่อนกันมาก่อน หรือไม่ค่อยได
พูดแบบนี้กัน
หรือคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้

หรือพ่อแม่บางคน ที่ไม่ค่อยพูดจาดีๆ กับลูก ทั้งที่รัก

สิ่งนี้เหมือนคุณกำลังทำให้การสื่อความรักเป็นเรื่องยาก
และสุดท้ายก็เกิดผลร้าย ที่ย้อนกลับมาสู่ตัวคุณเอง

เพราะอีกฝ่ายก็อาจสงสัยในความรักของคุณ
และเค้าก็ไม่อยากจะสื่อความรักกลับมาให้คุณ

โดโรธี ดิกซ์ บุคคลที่มีชื่อเสียง
เกี่ยวกับคำแนะนำในการแต่งงานในอเมริกา เคยกล่าวไว้ว่า

มันน่าฉงนยิ่งนัก ที่คนที่พูดกับเราอย่างหยาบคาย
สบประมาท และทำให้เจ็บใจ
ที่แท้ก็คือคนในบ้านของเราเอง”

คุณเดล คาร์เนกี กูรูด้านความสัมพันธ์ระดับโลก ได้เคยกล่าวไว้ว่า
ความสุภาพอ่อนโยน มีความสำคัญกับชีวิตคู่ ดุจน้ำมันที่ใช้กับเครื่องยนต์


หากคุณต้องการให้ชีวิตคู่ของคุณเต็มไปด้วยความรักและความสุข
หากคุณต้องการสื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าคุณรักเค้าอยู่เสมอ
จงพูดกับอีกฝ่าย ด้วยคำพูดที่นุ่มนวลอ่อนโยน

“อย่าเอาเรื่องเมื่อวานนี้ มาเป็นเรื่องยุ่งยากของวันนี้”

“อย่าเอาเรื่องเมื่อวานนี้ มาเป็นเรื่องยุ่งยากของวันนี้”

มีบางคนชอบเอาเรื่องของเมื่อวานนี้ หรือเรื่องในอดีตที่ผ่านมา มาทำให้วันปัจจุบันยุ่งยากขึ้น โดยเฉพาะกับคนรักของเรา

เช่น งอนกันในเรื่องเมื่อวานนี้ พอมาวันรุ่งขึ้น ก็เป็นอันต้องยกเลิกแผนไปเที่ยว หรืออาหารมื้ออร่อยที่เตรียมไว้

โกรธกันเมื่อวานนี้ พอมาวันรุ่งขึ้น ก็มาพูดซ้ำเติม ทำให้บรรยากาศในวันใหม่ให้หมองหม่น

คนรักของเราเผลอทำอะไรผิดพลาด เช่น เอารถไปขูดมา ลืมเรื่องที่ฝากไว้ หรือทำของเสียหาย ก็มาบ่นซ้ำในอีกวันนึง หรือบ่นไปอีกหลายวันว่า เธอมันก็เป็นอย่างนั้นอย่างนี้

พาลเอาวันใหม่ๆ ก็มืดหม่นไปหมด ไม่ได้สร้างวันใหม่ที่สดใสได้สักที

หากเรามีนิสัยแบบนี้ เป็นนิสัยที่ควรจะเลิกโดยเร็ว โดยเฉพาะกับคนรัก หรือคนในครอบครัวของเรา

เพราะคนที่เรารักเหล่านี้ คือคนที่ต้องอยู่กับเราตลอด เราเองก็จะไม่มีความสุข ที่จะต้องพลาดทำสิ่งดีๆ เพื่อที่จะแสดงออกถึงความโกรธเคืองที่ยังค้างคา

วิธีที่จะแนะนำก็คือ บอกตัวเองว่า “เราไม่อาจลบล้างสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่เรายอมรับสิ่งนั้นให้เป็นอดีตไปได้ และไม่อนญาติให้มันมารบกวนความสุขในปัจจุบันของเราอีก”

เรื่องผิดพลาดในอดีต ลบล้างไม่ได้ แต่ทำให้มันเล็กลงได้ ด้วยการสร้างจำนวนเรื่องดีๆ ให้มีมากกว่า

ถึงแม้เรื่องจะใหญ่เพียงใด ถ้าคุณยังตั้งใจที่รักกันอยู่ หลังจากพูดคุยเคลียร์ปัญหาเสร็จแล้ว คุณจำเป็นต้อง Move on จากความรู้สึกนั้น และร่วมกันตั้งใจที่จะสร้างเรื่องราวที่ดีใหม่ๆ ขึ้นมา เพื่อจะให้เรื่องร้ายๆ ที่ยังอยู่ในความทรงจำนั้น ไม่มีที่ยืน ให้คุณมีเรื่องดีมากพอ จนเรื่องร้ายๆ ไม่อยากจะจำ

มาเริ่มตั้งใจสร้างวันใหม่ที่ดีๆ และทำให้ทุกวันของคุณเป็นวันที่มีความสุขนะครับ

การยอมรับว่าเราก็มีส่วนที่ทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์

“การยอมรับว่าเราก็มีส่วนที่ทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ คือความกล้าหาญอย่างหนึ่ง”

การแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ มันจะง่ายขึ้นมากถ้าหากใครคนหนึ่ง หรือทั้งคู่ ยอมรับว่าตัวเองก็มีส่วนในปัญหาความสัมพันธ์

คุณอาจคิดว่าคุณไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหา แต่คุณก็มีส่วนที่ทำให้ปัญหาบานปลาย มาถึงจุดที่รู้สึกว่า ฉันเองรู้สึกไม่มีความสุขกับความสัมพันธ์นี้

ปัญหาความสัมพันธ์ ไม่ใช่เกิดจากแค่ “การกระทำ” แต่เกิดจากการ “โต้ตอบการกระทำ” ในแต่ละครั้งด้วย

การกระทำเหมือนกัน แต่โต้ตอบต่างกัน ก็ย่อมได้ผลลัพธ์ที่ต่างกัน

และปัญหาความสัมพันธ์มักเกิดจากการสะสมเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนสะสมเป็นปัญหาใหญ่ และบานปลาย จากการโต้ตอบที่ไม่ช่วยให้เกิดความเข้าใจ และการร่วมมือกัน

ความสัมพันธ์ เป้าหมายไม่ใช่การหาว่าใครทำถูกต้องกว่าใคร แต่เป้าหมายควรจะเป็นว่าทำอย่างไร เราถึงอยู่กันแบบมีความสุข เกิดเป็นความรักที่ดี ที่ทุกคนปรารถนา

แต่หลายคน กลับเลือกที่จะเป็นฝ่ายถูกก่อนที่จะมีความสุข

คาดหวังว่า ฉันทำสิ่งที่ถูกอยู่ คุณต้องเข้าใจ คุณดูแลความรู้สึกเองนะ

เธอทำผิด เธอสมควรโดนด่า และไปแก้ไขเสียนะ เธอต้องพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นนะ

ทำแบบนี้คำว่า “คู่ชีวิต” ก็ไม่มีความหมายและไม่จำเป็นอะไร และแบบนี้ ก็ไม่เกิดความรัก ที่ปรารถนา

ความรัก คือ ความต้องการด้านอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ เพื่อความรัก ทำให้เราขึ้นเขาลงห้วย เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล เผชิญกับความยากลำบากนับไม่ถ้วนได้

แต่หากไร้ความรัก เพียงเนินเขาเล็กๆ ก็ดูสูงชันเกินไป หรือเพียงแค่ลืมตาตื่นขึ้นมา ก็ยังไม่อยากจะตื่นเลย

ฉะนั้น ถ้าคุณต้องการเห็นคุณค่าของรักที่ดี ที่สามารถมอบความสุขพื้นฐานและพลังใจอันมหัศจรรย์ของมนุษย์นี้

คุณต้องเลิกโทษว่าเพราะใคร คุณเริ่มก่อนได้เลยครับ ถึงแม้ว่ามันอาจจะดูยากสำหรับคุณ

แต่คนที่กล้าหาญกับเรื่องนี้ จะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าจนเรื่องความกล้าหาญแค่นี้เป็นเรื่องเล็กไปเลยครับ

เป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่ต้องการจะพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นนะครับ

“คู่รักต้องเรียนรู้ที่จะบอกเล่าความไม่พอใจ ในแบบที่ส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจกัน ไม่ใช่การ…

“คู่รักต้องเรียนรู้ที่จะบอกเล่าความไม่พอใจ ในแบบที่ส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจกัน
ไม่ใช่การตำหนิติเตียน และทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่”

1 สิ่งสำคัญ ที่คู่รักต้องเรียนรู้และพัฒนา เพื่อให้รักกันอย่างมีความสุข

ต่างฝ่ายต้องเรียนรู้ที่จะบอกเล่าความไม่พอใจ หรือความรู้สึกไม่สบายใจ
ในแบบที่ส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจกัน
ไม่ใช่การตำหนิติเตียน และทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่

แน่นอนว่าการอยู่ด้วยกัน คบกัน ต้องมีเรื่องกระทบกระทั่ง ไม่พอใจ ไม่เข้าใจการกระทำของอีกฝ่าย

หลายคนอาจมองว่าทางออกมีเพียง 2 วิธี
คือ เก็บความรู้สึก และ พูดต่อว่า

ซึ่งทั้ง 2 วิธีนั้น มีแต่สร้างความเสียหายต่อความสัมพันธ์ 

เพราะวิธีแรก การเก็บความรู้สึก
ปัญหาที่เจอจะไม่ได้ถูกแก้ไข
ยิ่งเก็บนานก็ยิ่งทุกข์ จนสุดท้าย
ก็จะมาเลือกวิธีที่ 2 อยู่ดี
และมักจะมีการใช้อารมณ์รุนแรง ยากที่จะควบคุม

หรือถ้าเลือกวิธีพูดต่อว่า
เราอาจแค่ได้ระบายความรู้สึก
แต่ไม่ช่วยให้อีกฝ่าย อยากที่ร่วมมือแก้ปัญหา
ด้วยพื้นฐานทางจิตวิทยามนุษย์ที่ไม่มีใครชอบถูกต่อว่า
โดยเฉพาะกับคนที่รัก และต้องอยู่ด้วยกันตลอด

** เพราะฉะนั้นหากมีเรื่องที่ไม่เข้าใจกัน
ให้ “ฝึก” บอกเล่าความรู้สึกไม่พอใจและไม่เข้าใจ
ให้อีกฝ่ายได้รับรู้
ด้วยเจตนาว่า ฉันอยากให้เราเข้าใจกัน
ไม่ใช่เพราะอยากแค่ระบายอารมณ์
หรือต้องการให้เธอรู้สึกแย่**

 หลายครั้งเราอาจพบว่า
ความไม่พอใจต่างๆ ที่เราคิด
อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีเจตนารุนแรงเท่าที่เราคิด
แต่เหตุที่ไม่เข้าใจกัน ที่พบบ่อยคือ
เราต่างมีสะสมประสบการณ์ชีวิตมาแตกต่างกัน
ทำให้มีมุมมองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างกัน
ทำให้ทั้งคู่คิดไม่เหมือนกัน และไม่เข้าใจกัน

แต่เราก็ต่างรู้ว่า เรามีเหตุผลและความรู้สึกมากมายที่จะรักกัน
ฉะนั้นการฝึกที่จะพูดคุยแบบนี้
จะเป็นการฝึกฝน พัฒนา เพื่อให้ความสัมพันธ์เติบโต
และก่อเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น
ซึ่งเป็นพื้นฐานความสุขหนึ่งในชีวิตคู่ ที่หลายคนปรารถนาครับ

“อย่าให้คำว่า การแต่งงาน มาเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต จนลืมไปว่าเหตุใดคุณถึงรักกัน”

อย่าให้คำว่า การแต่งงาน มาเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต จนลืมไปว่าเหตุใดคุณถึงรักกัน

มีคู่รักบางคู่พอแต่งงานไปแล้ว
พยายามที่จะปรับรูปแบบการใช้ชีวิต หรือนิสัยของคู่รักตามอุดมคติ

ซึ่งอุดมคติของบางคน จะแสดงออกจากที่แต่งงานแล้ว

ในทางจิตวิทยาคนเรามีแนวโน้มเลียนแบบพฤติกรรม
การแสดงความรักแบบพ่อแม่ของเรา ที่เรารับรู้ในวัยเด็ก โดยที่ไม่รู้ตัว

จนทำให้เผลอที่จะพยายามเปลี่ยนแปลงคนรักเรา หลังแต่งงาน
เพื่อให้เหมือนกับที่เราเคยรับรู้ หรือฝังใจมา

ทั้งที่นิสัยหรือการกระทำนั้นของคู่รัก เราก็รับรู้มาก่อนแล้ว
และไม่เคยมีปัญหากันมาก่อน

เมื่อเราพยายามปรับเปลี่ยนคู่รักของเรา หลังแต่งงาน
จนเหมือนลืมไปว่า เราก็เคยชอบกันมาแบบนี้ ยอมรับนิสัยกันมาแบบนี้
จึงทำให้ยากที่จะเกิดความเข้าใจ และเกิดปัญหาได้

แต่การปรับเปลี่ยนก็สามารถเกิดขึ้นได้
ถ้าเกิดจากการร่วมมือจากทั้งสองฝ่าย
เห็นประโยชน์ร่วมกัน และอยากทำด้วยความสมัครใจ

ฉะนั้นคู่รักใดที่ยังไม่แต่งงาน
ก็อยากให้ทำความเข้าใจกันให้ดีว่า
อย่าให้คำว่า “แต่งงาน” มาเป็นคำพูด ที่บังคับให้อีกฝ่าย
ต้องทำอะไร โดยที่ไม่สมัครใจ
ตกลงกันให้ดี พูดคุยกันให้ดี
และระมัดระวังอิทธิพลการเลียนแบบใครโดยที่ไม่รู้ตัว

หรือใครที่แต่งไปแล้ว และรู้สึกว่าเกิดปัญหาไปแล้ว
ก็ลองทบทวนดูให้ดีว่า สิ่งที่เราต้องการเปลี่ยนนี้
เกิดจากอิทธิพลจากใครมาหรือไม่

และหากเป็นสิ่งที่ต้องการปรับ เป็นสิ่งที่ดี ที่จำเป็นต้องปรับจริงๆ
ก็ควรสื่อสารกับคู่รักอย่างให้เกียรติ ให้เวลาในการปรับตัว
และให้เค้าเห็นประโยชน์ร่วมกัน ที่จะตกลงทำด้วยความสมัครใจ

ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นการสร้างรักที่ดี และสามารถเติบโตอย่างยืนยาวได้

อย่างที่เคยบอกไว้ในคลิปหนึ่งว่า “รักแท้” เกิดจากความตั้งใจ
ไม่ใช่สัญชาติญาณครับ